พระตำหนักดอยตุง
พระตำหนักดอยตุง ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ที่เน้นความเรียบง่ายและการใช้ประโยชน์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบล้านนากับบ้านพื้นเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ ที่เพดานห้องโถงทำเป็นเพดานดาว บริเวณด้านหลังพระตำหนักมีระเบียงยื่นออกไป เมื่อยืนที่ระเบียงจะเห็นทัศนียภาพของดอยตุงที่สวยงาม เมื่อยืนที่ระเบียงจะเห็นทัศนียภาพของดอยตุงที่สวยงาม บริเวณขอบระเบียงมีกระบะปลูกไม้ดอกที่มีสีสันสวยงาม
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือ สวนดอยตุง
สวนแม่ฟ้าหลวง หรือ สวนดอยตุง เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่ 25 ไร่ อยู่ด้านหน้าของพระตำหนักดอยตุง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ภายในสวนถูกตกแต่งด้วยสีสันพรรณไม้ได้อย่างสวยงาม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกดอกตลอดทั้งปี กลางสวนมีประติมากรรมเด็กยืนต่อตัว งานประติมากรรมนี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ความต่อเนื่อง” นอกจากแปลงไม้ประทับกลางแจ้งแล้วยังมีโรงเรือนไม้ในร่ม จุดเด่นคือกล้วยไม้จำพวกรองเท้านารีชนิดต่างๆ ที่มีดอกสวยงาม หากเดินเหนื่อย ที่นี่ยังมีร้านกาแฟไว้บริการซึ่งก็เป็นกาแฟที่ได้จากดอยตุงนี่เอง
หอพระราชประวัติ หรือ หอแห่งแรงบันดาลใจ
หอพระราชประวัติ ได้ปรับปรุงให้เป็น หอแห่งแรงบันดาลใจ ตั้งอยู่หน้าสุดของพระตำหนัก เป็นอาคารแสดงพระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและพระราชวงศ์ มีห้องจัดแสดงนิทรรศการ 7 ห้อง
ห้อง 1 ราชสกุลมหิดล
ในฐานะครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่อบอุ่น เปี่ยมด้วยความรัก และเป็นดุจดั่งหยดน้ำที่รวมตัวกันหลั่งลงมา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ปวงพสกนิกร
ห้อง 2 เรื่องราวของราชสกุล
ผ่านพระราชประวัติ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี?? สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ย่อมเกิดจากจุดเล็กๆรอบตัว โดยเฉพาะภายในครอบครัว ห้องนี้จึงนำเสนอเรื่องราว ตั้งแต่ทรงเป็น “เด็กหญิงสังวาลย์” ที่ใฝ่ดี และแสวงหาโอกาส จนเป็น “คู่ชีวิตเจ้าฟ้า” ที่ได้ซึบซับพระราชปณิธานอันแรงกล้าในการทรงงาน เพื่อแผ่นดินไทยของพระสวามี มาเป็น”แม่ของลูก” ที่มีหลักในการอบรมเลี้ยงดูพระโอรสพระธิดา “ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” และในที่สุดกลายเป็น “แม่ฟ้าหลวง” ของปวงชนชาวไทยที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้คนที่แร้นแค้นมากมายได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ห้อง 3 การกลับคืนสู่มาตุภูมิของราชสกุลมหิดล
ด้วยความรับผิดชอบที่ทรงมีต่อประเทศชาติ สมาชิกของราชสกุลมหิดล ทรงต้องละวางชีวิตที่เรียบง่าย อิสระ และมีความสุข เพื่อเสด็จนิวัติกลับคืนสู่มาตุภูมิ มาทรงรับพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ในฐานะพระมหากษัตริย์ของประชาชน ในยุคที่บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย
ห้อง 4 ความทุกข์ยากของประชาชน
การขึ้นครองราชย์ หาใช่ความสุขสบายไม่ หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทรงงานที่หนักหน่วง ตลอดพระชนม์ชีพ เพราะ “ปัญหาไม่มีวันหยุด” และมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง
ห้อง 5 แบบแผนการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนอย่างยั่งยืน
ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้ทรงงานจนคุ้นตา ได้แก่
แผนที่ วิทยุสื่อสาร ดินสอ และกล้องถ่ายรูป สะท้อนถึงหลักการและวิธีการทรงงาน ที่ทรงมุ่งทำความ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อแก้ปัญหาของคนไทย ตั้งแต่คนบนภูเขา
บนที่ราบสูง ในที่ราบลุ่ม จนจรดชายฝั่งทะเล ผู้ชมจะได้เพลิดเพลินกับเทคนิค Shadow animation ที่ใช้อธิบายเรื่องซับซ้อนในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้เป็นเรื่องง่ายต่อการเข้าใจ
ห้อง 6 แบบแผนการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนบนดอยตุง
เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ 87 พรรษา ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโคงการพัฒนาดอยตุงๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมทองคำอย่างครบวงจร ด้วยการ “ปลูกป่า ปลูกคน” ควบคู่กันไป โดยทรงศึกษาจากโครงการในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ มาปรับใช้ที่ดอยตุง หรือเรียกง่ายๆว่า เป็นโครงการพัฒนาที่ “แม่เรียนจากลูก” ทุกวันนี้ ทั้งคนและผืนป่าของดอยตุง ได้รับการพลิกฟื้นคืนสู่ชีวิตที่พอเพียงและมีศักดิ์ศรี
ห้อง 7 ห้องแห่งแรงบันดาลใจ
แรงบันดาลใจที่สมาชิกราชสกุลมหิดลทั้งห้าพระองค์ทรงมีต่อกันและกัน ได้นำไปสู่ทางออกของปัญหาและปัญหาเล่า และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีแก่ประเทศชาติบ้านเมืองมากมาย
พระธาตุดอยตุง

พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์สีทองคู่กันตั้งอยู่ริมหน้าผา อายุเก่าแก่หลายร้อยปี จากที่ตั้งเจดีย์นี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้ อากาศเย็นสบาย
ประวัติพระธาตุดอยตุง
ตามตำนานเล่าว่า พระธาตุดอยตุงสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนาคพันธุ์ (ปัจจุบันคืออำเภอแม่จัน) พระมหากัสสปะได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) แล้วมอบให้แก่ พระเจ้าอชุตราช ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้บนดอยแห่งนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ แล้วจึงได้ให้ทำตุง (ธง) มีความยาว 1,000 วาปักบนยอดเขาหากตุงปลิวไปถึงที่ใดก็กำหนดให้เป็นฐานของพระเจดีย์ ทั้งนี้พระองค์ได้พระราชทานทองคำให้พวกลาวจกเป็นค่าที่ดิน และให้พวกมิลักขุ 500 ครอบครัวดูแลรักษาพระธาตุ ต่อมาในสมัยพญามังรายแห่งราชวงศ์มังราย พระมหาวชิรโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย 50 องค์ พญามังราย
จึงให้สร้างพระเจดีย์อีกองค์ใกล้กับเจดีย์องค์เดิม นับจากนั้นเป็นต้นมาพระธาตุดอยตุงจึงได้มีเจดีย์สององค์มาจนถึงทุกวันนี้
ตุง นับเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของชาวล้านนา หมายถึง ความเจริญรุ่งรุ่ง การมีชัยชนะ ในวัดจะมี รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่าเป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุงบูชาพระธาตุ สร้างมาประมาณ 1,000 ปีแล้ว พระบรมธาตุดอยตุงเป็นที่เคารพสักการะของชาวล้านนา ทุกปีจะมีงานนมัสการพระบรมธาตุในวันเพ็ญเดือน 3 ยังถือเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีกุน ที่นิยมมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล
ตลาดเช้าชาวเขา
เป็นสถานที่ ๆ ชาวบ้านใช้เป็นตลาดซื้ออาหารและชาวเขาหลายเผ่านำผลผลิตมาขาย แต่มีลักษณะเด่นตรงที่ไม่มีการสร้างเพื่อใช้เป็นตลาด ผู้ขายจะนำสินค้ามาวางตามถนน ในตลาดเช้า และคนจะมาเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น เริ่มมีคนตั้งแต่เวลา 05.00 น. ถึง 08.00 น.
ดอยแม่สลอง
เป็นชุมชนชาวจีนอพยพจากกองพล 93 ในราวปลายเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกซากุระจะบานสะพรั่งดูสวยงามมาก และเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น ชมทะเลหมอก ชิมชารสดี และอาหารจีนต้นตำรับจากยูนาน การเดินทางจากเชียงราย ใช้เส้นทางเชียงราย – แม่จัน 29 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1089 (แม่จัน – แม่อาย) อีก 38 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร บนเส้นทางจะผ่านน้ำพุร้อนห้วยหินฝน และในเส้นทางลงดอยแม่สลองใช้ทางหลวงหมายเลข 1234 จะผ่านหมู่บ้านผาเดื่อ บ้านสามแยกอีก้อ จากจุดนี้สามารถไปบ้านเทอดไทยและสิ้นสุดทางที่ดอยหัวแม่คำรวมระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร
ดอยแม่สลอง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสันติคิรี เดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก เป็นชุมชนผู้อพยพจากกองพล 93 ซึ่งอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาในเขตไทย จำนวนสองกองพันคือ กองพันที่ 3 เข้ามาอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และกองพันที่ 5 อยู่ที่บ้านแม่สลองนอก ตั้งแต่ปี 2504 บนดอยแม่สลองมีสถานที่น่าสนใจหลายแห่งให้ได้ชื่นชมกัน เช่น ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ จะเห็น ดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นซากุระพันธุ์ที่เล็กที่สุด สีชมพูอมขาว จะบานสะพรั่งตลอดแนวทางขึ้นดอยแม่สลอง เป็นพันธุ์ไม้ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย เพราะจะเจริญเติบโตอยู่แต่เฉพาะในภูมิอากาศหนาวจัดเท่านั้น สุสานนายพลต้วน ผู้นำแห่งกองพัน 5 ซึ่งเสียชีวิตที่นี่ เป็นสุสานที่สร้างด้วยหินอ่อนอยู่บนเขา จากสุสานสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลภูเขาได้ และไม่ควรพลาดการชิมชา รสชาติกลมกล่อม หอม ซึ่งจะมีอยู่หลายร้านในหมู่บ้าน และหาซื้อกลับบ้านไปเป็นของฝาก
การเดินทาง ใช้เส้นทางเชียงราย-แม่จัน เลยจากอำเภอแม่จันไป 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไป 12 กิโลเมตร ถึงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเลยจากศูนย์ฯ ไป 11 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านผาเดื่อ ซึ่งเป็นจุดแวะชมและซื้อหัตถกรรมชาวเขา จากนั้นเดินทางจากบ้านเย้าถึงบ้านอีก้อสามแยก ทางขวาไปหมู่บ้านเทอดไทย ส่วนแยกซ้ายไปดอยแม่สลอง ระยะทาง 18 กิโลเมตร รวมระยะทางจากเชียงราย 42 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย ในกรณีไม่ได้ขับรถมาเองสามารถขึ้นรถประจำทางจากตัวเมืองเชียงรายไปต่อรถสองแถวที่ปากทางขึ้นดอยแม่สลอง และจากดอยแม่สลองมีถนนเชื่อมต่อไปถึงบ้านท่าตอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง 45 กิโลเมตร
จุดชมวิว
บริเวณดอยตุงมีจุดชมวิวที่สวยงามหลายแห่ง
ริมทางหลวงหมายเลขที่1149 มีจุดชมวิวที่กม. 12 และกม.14 นอกจากนี้ตามเส้นทาง
วัดน้อยดอยตุง-บ้านผาหมี ซึ่งเป็นถนนซึ่งทอดยาวไปตามแนวเขาผ่านยอดดอยหลายลูก
มีจุดชมวิวซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ ได้กว้างไกล เช่น จุดชมวิวบนดอยช้างมูบ ดอยผาฮี้
และดอยผาห่ม
สถูปดอยช้างมูบ
ตั้งอยู่บนดอยช้างมูบ ริมถนนสายพระธาตุดอยตุง
บ้านผาหมี ห่างจากทางแยกวัดน้อยดอยตุงประมาร 4 กม. ตำนานสิงหนวัติ
และตำนานโยนกนาคพันธ์กล่าวถึงดอยช้างมูบว่า ในรัชกาลที่ 10 พระเจ้าชาติราย
ได้มีกัมระปติสะโลเทพบุตร นำไม้นิโครธมาปลูก ณ ดอยช้างมูบ ต้นไม้นั้นเมื่อโตได้สูง
7 ศอก ได้แตกสาขาเป็น 4 กิ่ง สามารถให้ร่มเงาให้แก่คนได้ 20 คน
ประชาชนมีความเชื่อว่าหากนำไม้มาค้ำกิ่งนิโครธน้ำจะทำให้บรรลุความปรารถนาเช่นเดียวกับต้นกัลปพฤกษ์
กล่าวคือ ทิศตะวันออก ได้บุตรสมประสงค์ ทิศเหนือได้ทรัพย์
ทิศตะวันตกเจริญรุ่งเรือง และทิศใต้อายุยืนนาน
ปัจจุบันคงเหลือเพียงพระสถูปช้างมูบเป็นเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่
ซึ่งมีลักษณะเหมือนช้างหมอบอยู่ สภาพโดยเป็นต้นโพธิ์ใหญ่
และต้นสนซึ่งใช้ปลูกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ
ทุ่งดอกบัวตอง ดอยหัวแม่คำ

ดอยหัวแม่คำ
เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ลีซอและอาข่า ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 100 กม เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่ดอยหัวแม่คำจะเต็มไปด้วยดอกบัวตองสีเหลืองสดบานสะพรั่งอยู่ทั่วไปตามแนวเขาวนอุทยานดอยหัวแม่คำ
เป็นจุดชมวิวสูงสุดของดอยหัวแม่คำ มีทิวทัศน์งดงามเป็นวิวภูเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงกันได้อย่างงดงาม
ช่วงเช้าสามารถเห็นทะเลหมอกอยู่ทั่วบริเวณภูเขาสถานีปลูกไม้เมืองหนาว มีไม้ตัดดอก
เช่นคาเนชั่น แกลดิออรัส กุหลาบ ฯลฯ ให้ชมและเลือกซื้อด้วยเที่ยวหมู่บ้านชาวเขา
ละแวกบ้านหัวแม่คำเป็นหมู่บ้านชาวเขากระจัดกระจายจำนวนสี่เผ่า คือ อาข่า ลีซอ
ลาหู่ และม้ง โดยยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี
และเอกลักษณ์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ระหว่างเดือน ธ.ค.-ม.ค.
จะตรงกับการจัดงานปีใหม่ของแต่ละเผ่า
ชาวเขาจะแต่งชุดประจำเผ่าที่สวยงามน้ำตกหัวแม่คำใหญ่ อยู่สุดปลายเส้นทาง ห่างจากบ้านหัวแม่คำไปเล็กน้อย
เป็นพื้นที่รับผิดชอบของวนอุทยานดอยหัวแม่คำ เส้นทางช่วงนี้ค่อนข้างชัน
ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ น้ำตกหัวแม่คำต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 200 ม.
เป็นน้ำตกขนาดกลาง สายน้ำไหลลดหลั่นลงมาจากหน้าผาสูงประมาณ 20 ม.
น้ำเย็นจัด เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในละแวกดอยหัวแม่คำ

แหล่งอ้างอิง
http://www.emagtravel.com/archive/doi-tung.html
http://www.amphoe.com/menu.php?mid=3&am=144&pv=12